ข้อดี-ข้อเสีย (อย่างตรงไปตรงมา) ของเทคนิคปลูกผมแต่ละเทคนิค
--------------------
การปลูกผมเป็นการย้ายรากผมจากบริเวณท้ายทอยด้านหลัง เพื่อนำมาปลูกยังบริเวณที่ต้องการ
การปลูกผมมีทั้งหมด 2 วิธี คือ FUT และ FUE
ซึ่งแต่ละคลินิกอาจเรียกชื่อต่างออกไปเพื่อให้ดูเป็นเทคนิคเฉพาะที่
FUT (Follicular Unit Transplantation)
* วิธีนี้ทำได้ในแพทย์ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
เป็นวิธีที่นำเซลล์รากผมและเส้นผมออกมา
โดยนำเอาผิวส่วนบนของหนังศีรษะออกมาเป็นแผ่นบางๆจากบริเวณท้ายทอย
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เส้นผมมีอายุยืนยาวที่สุด แล้วเย็บปิด
หลังจากนั้นจะแบ่งออกเป็นกราฟย่อยๆผ่านกล้องจุลทรรศน์
แช่ในสารละลายเฉพาะในอุณหภูมิที่เหมาะสม
แล้วนำไปปลูกลงตำแหน่งที่เราต้องการ
ข้อดี-ข้อเสีย
- ได้กราฟผมที่สมบูรณ์ เนื่องจากแบ่งกราฟผ่านกล้องจุลทรรศน์
- ความหนาแน่นของเส้นผมบริเวณท้ายทอยเท่าเดิม
- ใช้เวลาทำสั้นกว่า
- อัตราการขึ้นของกราฟสูงถึง 95-99%
- เหมาะสำหรับการปลูกผมที่ต้องการปริมาณกราฟทั้งมากและน้อย
- มีรอยแผลบางๆที่ท้ายทอย และมีผมแทรกบริเวณรอยแผล
หากประเมินการรักษาอย่างเหมาะสม และจัดการแผลด้วยเทคนิค
พิเศษ (Trichophytic technique)
FUE (Follicular Unit Excision)
เป็นการนำเซลล์รากผมและเส้นผมออกมาจากบริเวณท้ายทอยทีละกราฟ
โดยใช้เครื่องปั่นเฉพาะทาง แช่ในสารละลายเฉพาะในอุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วนำไปปลูกลงตำแหน่งที่เราต้องการ
ข้อดี-ข้อเสีย
- ความหนาแน่นของเส้นผมบริเวณท้ายทอยน้อยลงตามจำนวนกราฟที่นำออกมา
- หลังแผลที่ท้ายทอยหาย จะมีรอยจางๆในตำแหน่งที่เอาเส้นผมออกมา
- เหมาะสำหรับการปลูกผมที่ใช้กราฟน้อย (ไม่ควรเกิน 2000-2500 กราฟ)
- สามารถนำเครา ขนหน้าอก หรือบริเวณอื่นมาใช้ได้
- เมื่อยาชาหมดฤทธิ์หลังปลูกผม มีแนวโน้มเจ็บแผลมากกว่า FUT
(ข้อสรุปจาก ISHRS World Live Surgery Workshop 2019)
- ใช้เวลานำกราฟผมออกมานานกว่า
- ในขณะนำกราฟออกมา อาจมีบางกราฟที่มีความสมบูรณ์ลดลง
เนื่องจากในขั้นตอนการปั่นกราฟออกมา เราไม่สามารถเห็นตำแหน่ง
ของรากผมใต้ผิวหนังได้
- อัตราการขึ้นของกราฟผมน้อยกว่า FUT เล็กน้อย
--------------------
ไม่ว่าจะปลูกผมด้วยวิธีใด ควรได้รับคำแนะนำที่ดี
และรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถทำได้ทั้ง FUT และ FUE
จึงจะสามารถแนะนำคุณได้อย่างตรงไปตรงมา
เพื่อความปลอดภัย และความคุ้มค่าสูงสุดของคุณครับ